E-Commerce คืออะไร
เราไม่อาจที่จะปฏิเสธไปได้เลยว่าในปัจจุบันผู้คนต่างติดต่อสื่อสารกันผ่านเครือข่ายและแพลตฟอร์มต่างๆ มากยิ่งขึ้น ซึ่งมีความสะดวกสบายรวดเร็ว เช่นเดียวกับบทความนี้ที่เราจะพาท่านมารู้จักกับ E-Commerce ว่าเป็นอย่างไรเพื่อเปิดมุมมองใหม่ๆ และเป็นการเรียนรู้ไว้ติดตัวหากท่านได้นำไปปรับใช้กับธุรกิจ หรือผู้ที่กำลังจะเริ่มทำธุรกิจนั่นเองครับ
1. E-Commerce คืออะไร
E-Commerce หรือ Electronic Commerce (พาณิชย์อิเล็กทรอนิกส์) คือ การซื้อขายและบริการต่างๆ ผ่านสื่ออิเล็กทรอนิกส์ เช่น วิทยุ โทรทัศน์ เครือข่ายคอมพิวเตอร์ และแพลตฟอร์มออนไลน์ต่างๆ เป็นต้น
ในปัจจุบัน E-Commerce ก็เป็นสิ่งที่ผู้คนเข้าถึงมากที่สุด โดยเฉพาะอินเทอร์เน็ตซึ่งมีความสามารถที่หลากหลาย เช่น
1.การส่งข้อความ และการสื่อสารที่รวดเร็ว
2.เสียง ภาพ และวิดีโอ
3.การบริการอื่นๆ ทางออนไลน์
2. E-Commerce มีประโยชน์อย่างไร
แน่นอนขึ้นชื่อว่า E-Commerce (พาณิชย์อิเล็กทรอนิกส์) แล้วก็ต้องมีประโยชน์อย่างแน่นอนในปัจจุบันนี้ เพราะกลุ่มเป้าหมาย (ลูกค้า) มีการพกพาเครื่องมือสื่อสารติดตัวอยู่ตลอดเวลา เมื่อต้องการหาสินค้ากลุ่มเป้าหมายจะมีการเสิร์ชข้อมูลเพื่อดูสินค้าก่อนเป็นอันดับแรก
ซึ่งมีสถิติออกมาแล้วว่าคนในไทยใช้อินเทอร์เน็ตกันมากกว่าวันละ 8 ชั่วโมง ที่สำคัญสถิติการซื้อขายผ่านออนไลน์นั้นสูงเป็นอันดับที่ 3 ของโลกเลยทีเดียว
ดังนั้นจึงทำให้ธุรกิจใหม่ๆ เริ่มต้นด้วยการทำธุรกิจ E-Commerce และธุรกิจต่างๆ ก็มีการปรับตัวมาทำธุรกิจแบบ E-Commerce มากยิ่งขึ้นเพื่อเพิ่มโอกาสในการเข้าถึงกลุ่มเป้าหมาย การลดต้นทุน ซึ่ง E-Commerce ทำให้ธุรกิจเติบโตได้อย่างดีเลยล่ะ
แต่ถึงกระนั้นก็ต้องมีการแข่งขันกันทางด้านการตลาดด้วย เทคนิค SEO การโปรโมท และกลยุทธ์ต่างๆ จึงจะสามารถเอาชนะคู่แข่งที่มีอยู่อย่างมากมายในตลาดได้ (ดังนั้นอย่าลืมศึกษาก่อนเริ่มต้นด้วยนะครับ
3. เว็บไซต์ E-Commerce
เว็บไซต์ E-Commerce เป็นตัวกลางที่เชื่อมต่อระหว่างลูกค้ากับร้านค้าเข้าหากัน ซึ่งเว็บไซต์เปรียบเสมือนร้านค้าที่เปิดตลอด 24 ชั่วโมงบนโลกออนไลน์ที่ลูกค้าหรือผู้ชมสามารถเข้ามาดูสินค้าหรือข้อมูลเกี่ยวกับร้านค้าได้ตลอด 24 ชั่วโมง ไม่ว่าจะอยู่ส่วนใดของโลกที่มีอินเทอร์เน็ต
ในปัจจุบันผู้ประกอบธุรกิจต่างก็มีเว็บไซต์เป็นของตัวเอง สามารถเข้าถึงกลุ่มผู้บริโภคได้เป็นอย่างดี ซึ่งสามารถสร้างความน่าเชื่อถือให้กับลูกค้าได้ในระดับหนึ่งเลยล่ะ แต่ถึงอย่างไรก็ตามก็ต้องสร้างกลยุทธ์ SEO ให้กับเว็บไซต์ของคุณด้วย เพื่อแข่งขันกับคู่แข่งที่อยู่ในตลาดนั่นเองครับ
4. ข้อดีของเว็บไซต์ E-Commerce เช่น
1.ตัวตน สร้างความน่าเชื่อถือ
2.สามารถออกแบบได้ตามที่ต้องการ (ในการแข่งขัน)
3.สามารถจัดเก็บข้อมูลลูกค้าได้ด้วยตัวเอง และสามารถต่อยอดธุรกิจอื่นๆ ได้
4.อัปเดตข่าวสารต่างๆ เกี่ยวกับธุรกิจของคุณได้ตลอดเวลา
5.และอื่นๆ อีกมากมายขึ้นอยู่กับไอเดียและกลยุทธ์ของคุณด้วย
ทั้งนี้ยังมี Marketplace ซึ่งเป็นเว็บไซต์ที่ทำหน้าที่เป็นเหมือนตลาดกลางจากร้านค้าหรือแบรนด์ต่างๆ ที่สามารถเข้ามาซื้อขายสินค้าผ่านทางออนไลน์ได้
และ Social Commerce ซึ่งเป็นการซื้อขายสินค้าผ่านแพลตฟอร์มต่างๆ เช่น Faceboo,k Google, Line, Instagram และ Twitter เป็นต้น
5. การโปรโมทธุรกิจ E-Commerce มีอะไรบ้าง
หากคุณเริ่มต้นทำธุรกิจ E-Commerce สิ่งสำคัญที่จะเป็นตัวขับเคลื่อนให้ธุรกิจของคุณเติบโตไปในทิศทางที่ดีได้นั่นก็คือการใส่ “กลยุทธ์” ให้กับเครื่องมือ E-Commerce ของคุณ
กลยุทธ์เหล่านี้จะทำให้ผู้คนหรือกลุ่มเป้าหมายของคุณได้เห็นสินค้าของคุณ และเห็นสิ่งที่คุณนั้นกำลังสื่อสารออกไปเพื่อให้ตรงตามความต้องการของกลุ่มเป้าหมาย ซึ่งสิ่งเหล่านี้อาจจะต้องจ้างผู้เชี่ยวชาญหรือศึกษาด้วยตนเองครับ
โดยกลยุทธ์การตลาด E-Commerce เบื้องต้นที่เราได้นำมาฝากกันมีดังนี้
1. SEO (Search Engine Optimization)
SEO คือ การเพิ่มประสิทธิภาพกลไกการค้นหา แน่นอนการตลาดบนโลกออนไลน์ ผู้คนมักจะค้นหาสินค้าผ่าน Google และแพลตฟอร์มอื่นๆ จากสถิติผู้คนนั้นค้นหาผ่าน Search Engine เป็นอันดับต้นๆ
ดังนั้น การทำ SEO ก็เพื่อหวังให้เว็บไซต์หรือเว็บเพจของเราขึ้นมาติดอันดับการค้นหาของ Google ซึ่งหากเว็บไซต์ของเรานั้นติดอันดับการค้นหา โอกาสผู้คนที่จะคลิกเข้ามาดูเนื้อหาของเรานั้นก็มีสูงตามไปด้วย และโอกาสในการปิดการขายก็มากขึ้นไปด้วยนั่นเองครับ
อย่างไรก็ตามการทำ SEO นั้นมีกลยุทธ์ที่หลากหลายวิธีมากๆ ขึ้นอยู่กับจุดประสงค์และเป้าหมายของธุรกิจของคุณ ดังนั้นคุณสามารถนำเครื่องมือต่างๆ ของ SEO มาปรับใช้ได้เลย
ตัวอย่างเช่น การสร้างเนื้อหา keyword คุณสามารถกำหนดหัวข้อต่างๆ ที่เกี่ยวกับธุรกิจหรือแบรนด์สินค้าของคุณ แล้วทำการสร้างเนื้อหาบทความที่คาดว่าผู้คนจะค้นหาเกี่ยวกับสิ่งนั้นๆ ลงบน Google
หากมีผู้คนมาค้นหาเจอก็จะเพิ่มโอกาสในการขายสินค้า อีกทั้งยังสร้างความน่าเชื่อถือให้กับ Google และผู้อ่านอีกด้วย ทั้งนี้ทั้งนั้นก็ขึ้นอยู่กับเทคนิคการเขียนเพื่อแข่งขันกับเจ้าอื่นๆ อีกด้วย สามารถดูข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ seo-winner.com
2. Google Ads (Google AdWords)
Google Ads เป็นการโฆษณาออนไลน์บน Google ซึ่งการโฆษณานี้จะมีการเก็บค่าใช้จ่ายตามจำนวนครั้งที่โฆษณาปรากฏ และจำนวนครั้งของผู้ที่คลิกเข้ามาดู ทำให้มีผู้เข้าชมเร็วขึ้น และเข้าถึงกลุ่มเป้าหมายมากยิ่งขึ้น โดยจะมีช่องทางการโฆษณาหลักๆ เช่น
1.isplay Network ซึ่งจะแสดงบนเว็บไซต์อื่นๆ
2.Search Network จะแสดงโฆษณาแบบข้อความบนหน้าการค้นหาของ Google
3. SMM (Social Media Marketing)
เป็นการโปรโมทผ่านสื่อโซเชียลมีเดียต่างๆ ที่ได้รับความนิยม และเป็นแพลตฟอร์มที่มีการติดต่อสื่อสารการอยู่ตลอดเวลา เช่น Facebook, Instagram, Twitter, LINE เป็นต้น โดยคุณสามารถสร้างกลยุทธ์ต่างๆ เพื่อทำการโฆษณาบนแพลตฟอร์มเหล่านี้ได้ครับ อีกทั้งยังมีส่วนช่วยในเรื่องของอันดับ SEO ด้วย
4. Content Marketing
เป็นการสร้างเนื้อหาที่มีประโยชน์ และตรงกลุ่มเป้าหมาย เช่น รูปแบบบทความ วิดีโอ อินโฟกราฟิก หรือรายการเนื้อหาต่างๆ ที่สามารถสร้างเป็นเนื้อหาคอนเทนต์ขึ้นมาได้ เพื่อที่จะได้รับความสนใจจากกลุ่มเป้าหมายที่ต้องการรู้ในเรื่องของสิ่งนั้นๆ
ตัวอย่างเช่น คุณทำธุรกิจเกี่ยวกับเว็บไซต์ คุณก็สร้างเนื้อหาเกี่ยวกับการให้ความรู้เรื่องของเว็บไซต์ตามตัวข้อต่างๆ เพื่อให้คนที่สนใจทำเว็บไซต์ได้เข้ามาอ่าน โดยที่คุณนั้นแฝงโฆษณาเกี่ยวกับการทำเว็บไซต์อยู่ด้วย เมื่อผู้อ่านเกิดความน่าเชื่อถือ คุณก็จะมีโอกาสปิดการขายได้นั่นเอง
ฉะนั้นก็ขึ้นอยู่กับไอเดียของคุณแล้วล่ะว่าจะทำอย่างไรที่จะให้เนื้อหาของคุณได้รับความนิยมมากที่สุดครับ
5. Influencer Marketing
การตลาดแบบ Influencer คือการให้ผู้มีอิทธิพลหรือคนดังบนโลกอินเทอร์เน็ตช่วยโปรโมทนั่นเอง อันดับแรกต้องดูในเรื่องของความน่าเชื่อถือ และดูที่สินค้าของคุณ เช่น ดูว่าผู้มีอิทธิพลเหล่านั้นเขาได้รับความน่าสนใจในเรื่องอะไรมีผู้ติดเพราะเรื่องอะไร
ซึ่งถ้าหากกลุ่มเป้าหมายติดตามในเรื่องที่ตรงกับสินค้าของเรา ที่เรานั้นต้องการที่จะโปรโมทก็สามารถจากจ้าง Influencer เหล่านั้นมาโปรโมทสินค้าเราได้ ซึ่งจะเพิ่มโอกาสในการเข้าถึงกลุ่มเป้าหมายได้มากยิ่งขึ้น และยอดขายที่มากขึ้นกว่าเดิมอีกด้วย
ทั้งนี้ การโปรโมทสินค้าแบบ E-Commerce ยังมีอีกหลายช่องทางและหลายกลยุทธ์ที่เรานั้นสามารถนำมาปรับใช้ได้ เช่น Affiliate Marketing การตลาดแบบพันธมิตร เป็นต้น
อย่างไรก็ตาม ถ้าหากท่านใดที่กำลังจะเริ่มต้นทำการตลาดแบบ E-Commerce ก็อย่าลืมศึกษาการตลาดก่อนลงทุน และศึกษากลยุทธ์เพื่อแข่งขันกันในตลาดด้วยนะครับ เพราะเป็นสิ่งสำคัญมากๆ ที่จะทำให้ธุรกิจของคุณไปรอด และเติบโตในตลาด E-Commerce ได้อย่างงดงาม
หวังว่าผู้อ่านจะได้ประโยชน์ไม่มากก็น้อยในการนำไปปรับใช้ก่อนเริ่มต้นธุรกิจ E-Commerce ผู้อ่านสามารถศึกษากลยุทธ์ต่างๆ เกี่ยวกับธุรกิจออนไลน์เพิ่มเติมได้ที่ seo-winner.com ถ้าหากผิดพลาดประการใดต้องขออภัยไว้ ณ โอกาสนี้ด้วยครับ
วันที่ : 09/01/2024 16:01