เว็บไซต์มีกี่ประเภท อะไรบ้าง
หากใครที่กำลังมองหาช่องทางอีกช่องทางในการดำเนินธุรกิจบนโลกออนไลน์โดยการสร้างเว็บไซต์เป็นของตนเองขึ้นมา ฉะนั้นในบทความนี้เราจึงถือโอกาสพาผู้อ่านมาทำความเข้าใจว่าจริงๆ แล้วเว็บไซต์มีกี่ประเภท และแต่ละประเภทนั้นเหมาะกับธุรกิจประเภทใดบ้าง
ซึ่งในบทความนี้จะอธิบายประเภทเว็บไซต์ที่พบบ่อยที่สุด โดยอธิบายว่ามีไว้เพื่ออะไร และเหมาะกับผู้ที่ต้องการจะทำอะไร โดยการวิเคราะห์และสรุปข้อมูลจาก expertmarket มาให้ได้อ่านได้ทำความเข้าใจกัน!
1. Blog website (เว็บไซต์บล็อก)
หากใครที่ท่องเว็บบ่อยเพื่อดูข้อมูลต่างๆ เชื่อว่าหลายคนมักจะเจอเว็บบล็อกเป็นส่วนใหญ่ แต่สำหรับผู้ที่ไม่คุ้นเคยบล็อกเหล่านี้คือวารสารออนไลน์หรือหน้าข้อมูลที่มีการอัปเดตเป็นประจำ
โดยทั่วไปแล้วจะจัดการโดยบุคคลหรือกลุ่มเล็กๆ ซึ่งบล็อกสามารถครอบคลุมหัวข้อใดก็ได้ เช่น เคล็ดลับการเดินทาง คำแนะนำทางการเงิน หรือรีวิวฯ โดยบล็อกมักถูกเขียนในรูปแบบที่ไม่เป็นทางการหรือเป็นการสนทนา และในปัจจุบันนั้นการสร้างรายได้จากบล็อกได้รับความนิยมสำหรับนักเขียนเป็นอย่างมาก!
2. Wiki or knowledge hub (Wiki หรือศูนย์กลางความรู้)
'วิกิ' กลายเป็นชวเลขสำหรับสารานุกรมออนไลน์ประเภทหนึ่งที่ผู้ใช้เว็บสามารถค้นหาข้อมูลในบางหัวข้อได้ บ่อยครั้งที่เนื้อหาเขียนรวมกันโดยผู้เขียนมากกว่าหนึ่งคน โดยตัวอย่างที่ได้รับความนิยมมากที่สุดคือ "วิกิพีเดีย" ที่หลายๆ คนรู้จักนั่นเอง ซึ่งสามารถอนุญาตให้ทุกคนแก้ไข ลบ หรือเพิ่มในแต่ละบทความได้
โดยจะมีความแตกต่างจากบล็อกหรือนิตยสารออนไลน์ เนื่องจากบทความพยายามที่จะบันทึกปรากฏการณ์ที่เกิดขึ้นจริง แทนที่จะเสนอเรื่องราวและความคิดเห็น ฉะนั้นด้วยเหตุนี้จึงเป็นเรื่องปกติที่ผู้เขียนจะรวมการอ้างอิงไว้ในข้อความแหล่งข้อมูลของตน
3. Corporate website (เว็บไซต์องค์กร)
สำหรับไซต์องค์กรนั้นจะเป็นการให้ข้อมูลเกี่ยวกับธุรกิจหรือสิ่งที่เราทำ เพื่อให้ผู้ที่มีโอกาสเป็นลูกค้าทราบว่าพวกเขาจะติดต่อเราได้อย่างไร และได้รับรู้ในสิ่งที่เรากำลังทำอยู่ และเว็บไซต์องค์กรจะต้องมีหลายหน้าในไซต์ โดยทุกๆ รายละเอียดนั้นสำคัญหมด ตัวอย่างเช่น หน้าเกี่ยวกับ ซึ่งจะช่วยอธิบายเรื่องราวขององค์กรให้ผู้ที่มาเยี่ยมชมนั้นได้เข้าใจอย่างลึกซึ้ง และโอกาสที่พวกเขาจะเป็นลูกค้าเรานั้นก็มีมากขึ้นไปด้วย
วิธีสร้างไซต์องค์กร : แนะนำให้ใช้บริการออกแบบเว็บไซต์เพื่อให้เราสามารถกำหนดลักษณะและการทำงานของไซต์ธุรกิจของเราได้อย่างชัดเจน และขอบเขตของไซต์องค์กรนั้นแตกต่างกันอย่างมาก ซึ่งเราอาจจะไม่พบสิ่งที่เราต้องการตัวแก้ไข DIY แบบลากและวาง
ดังนั้นเพื่อให้ได้ความสวยงามและการใช้งานที่เหมาะสม เราควรจ้างผู้เชี่ยวชาญด้านการออกแบบเว็บไซต์นั่นเอง
4. Landing page
สำหรับ Landing page นั้น เป็นหน้าเว็บเดียวที่มีจุดเน้นที่ชัดเจน ซึ่งเพจมีเป้าหมายเดียว เพื่อแปลงยอดขายของผลิตภัณฑ์ รวบรวมข้อมูลผู้ใช้ หรือเป็นหน้าเพื่อดำเนินรายการต่อไป
โดยหน้า Landing page มีการออกแบบที่สะอาดตา และเรียบง่ายเพื่อหลีกเลี่ยงการรบกวนผู้ใช้จากการกระทำเป้าหมาย
5. Ecommerce-website (เว็บไซต์อีคอมเมิร์ซ)
สำหรับไซต์ Ecommerceหรือที่เรียกว่าร้านค้าออนไลน์นั้น อนุญาตให้เราขายสินค้าหรือบริการผ่านทางอินเทอร์เน็ต ร้านค้าบนเว็บของเราสามารถทำหน้าที่เป็นเว็บไซต์แบบสแตนด์อโลนหรือแท็กไปยังเว็บไซต์ประเภทอื่นได้
แต่สำหรับเว็บไซต์อีคอมเมิร์ซนั้นมีการแข่งขันกันค่อนข้างสูง เพื่อจะได้มาในกลุ่มเป้าหมายลูกค้าออนไลน์ ที่เป็นธุรกิจคู่แข่งเดียวกัน ฉะนั้นหากเราสร้างเว็บไซต์อีคอมเมิร์ซจะต้องเรียนรู้ กลยุทธ์ SEO เพิ่มเติม...
สำหรับวิธีสร้างไซต์อีคอมเมิร์ซสามารถอ่านเพิ่มเติม….
6. Portfolio website (เว็บไซต์ผลงาน)
สำหรับเว็บไซต์แสดงผลงาน เช่น การแสดงตัวอย่างผลงานสร้างสรรค์ ส่วนใหญ่จะใช้โดยศิลปินและช่างภาพ โดยเว็บไซต์ผลงานจะแสดงทักษะของเรา เพื่อสร้างความประทับใจให้กับลูกค้า หรือนายใจในอนาคต อย่างไรก็ตามเว็บไซต์พอร์ตโฟลิโออาจต้องใช้บริการโฮสติ้งที่ปรับปรุงใหม่ เช่น คลาวด์โฮสติ้ง เพื่อรับมือกับจำนวนมัลติมีเดียบนเว็บไซต์
7. Online magazine (นิตยสารออนไลน์)
ด้วยการลดลงของสื่อสิ่งพิมพ์ และเพิ่มขึ้นมากในโลกออนไลน์ ดังนั้นจึงไม่มีเหตุผลที่เราจะไม่ประสบความสำเร็จในการค้นหาผู้อ่านบนเว็บ แค่เราเลือกผู้ชมที่เฉพาะเจาะจงและมุ่งเป้าไปที่เนื้อหาทั้งหมดของเรา รวมไปถึงภาพบทความ และน้ำเสียง คำนึงถึงผู้อ่านเป้าหมายนั้นเสมอและเราจะไม่ผิดพลาด เป็นต้น
8. Crowdfunding website (เว็บไซต์คราวด์ฟันดิ้ง)
Crowdfunding คือแนวปฏิบัติในการระดมทุนโครงการหรือกิจการ โดยการระดมเงินจำนวนเล็กน้อยจากผู้คนจำนวนมาก ซึ่งเว็บไซต์ประเภทนี้กำลังกลายเป็นแหล่งข้อมูลสำหรับผู้เริ่มต้นใหม่
ในปัจจุบันนี้เราสามารถสร้างไซต์การระดมทุนได้อย่างง่ายดาย เพียงแค่ต้องสร้างวิดีโอเสนอขายสำหรับโครงการของเรา จากนั้นจึงกำหนดจำนวนเงินเป้าหมายและกำหนดเวลา ฉะนั้นหากผู้ใช้เว็บที่เชื่อในสิ่งที่เรากำลังทำอยู่ จะมอบเงินจำนวนหนึ่งให้กับโครงการของเรา โดยเราสามารถเสนอสิ่งจูงใจเพื่อแลกกับการบริจาค เช่น สินค้าลดราคาหรือประสบการณ์ VIP
9. Video streaming website (เว็บไซต์สตรีมมิ่งวิดีโอ)
ตัวอย่างเช่น Netflix พร้อมด้วยเว็บไซต์ที่คล้ายคลึงกันอย่าง NowTV ได้ปฏิวัติวิธีรับชมโทรทัศน์ของโลก โดยไซต์สตรีมวิดีโอเหล่านี้ได้รับความนิยมเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็วในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา โดยมีไซต์ติดตาม เช่น BBC iPlayer และ All 4 เป็นตัวอย่างดั้งเดิมของเว็บไซต์ประเภทนี้
และบางแพลตฟอร์มเช่น YouTube และ Vimeo ให้บริการโฮสติ้งวิดีโอสำหรับการใช้งานที่หลากหลาย เช่น การสื่อสารขององค์กร การตลาดผลิตภัณฑ์ และวิดีโอบล็อก ดังนั้นหากเราต้องการตั้งค่าไซต์เฉพาะเพื่อสตรีมเนื้อหาวิดีโอ โปรดทราบว่าเราจะต้องใช้แบนด์วิดท์จำนวนมาก
10. Educational website (เว็บไซต์การศึกษา)
จากข้อมูลชาวอังกฤษมากกว่าหนึ่งในสิบ (13%) ใช้หลักสูตรการศึกษาออนไลน์ในปี 2020 ซึ่ง elearning กำลังได้รับความนิยมอย่างมากและมีตลาดขนาดใหญ่ให้เข้าร่วม
สำหรับแพลตฟอร์มการศึกษาสามารถอยู่ในรูปแบบของเว็บวิดเจ็ต แอปมือถือ, พอร์ทัลอีเลิร์นนิง, วิดีโอ, แบบทดสอบ, เกม และแม้แต่บริการสอนพิเศษออนไลน์ เว็บไซต์ต่างๆ ซึ่งเหมาะสมกับธรรมชาติของการศึกษาแบบอินเทอร์แอคทีฟ
หวังว่าบทความนี้จะเป็นประโยชน์สำหรับผู้อ่านได้ไม่มากก็น้อย นี่เป็นเพียงการวิเคราะห์และสรุปจาก expertmarket มาเท่านั้น โดยผู้อ่านสามารถปรึกษารายละเอียดเพิ่มเติมเกี่ยวกับการสร้างเว็บไซต์ได้ที่ การออกแบบเว็บไซต์
“ถ้าหากผิดพลาดประการใดต้องขออภัยไว้ ณ โอกาสนี้ด้วยครับ”
--Wynnsoft Solution รับทำเว็บไซต์ รับทำ SEO รับทำการตลาดออนไลน์ รับทำโฆษณา Facebook รับทำเว็บไซต์ ขอนแก่น และรับทำเว็บไซต์ทั่วประเทศ—
ข้อมูลจาก : wynnsoftsolution / expertmarket.com
วันที่ : 29/12/2023 14:35